8/31/2009

economy key to House dissolution



PM says economy key to House dissolution

Published: 1/09/2009 at 12:00 AM

The House could be dissolved after the government's measures to tackle the country's economic crisis start to bear fruit from December to February, Prime Minister Abhisit Vejjajiva says.

A source quoted the prime minister as telling high-level participants yesterday at an advanced course on political development at the Election Commission that three conditions would have to be met before the House could be dissolved.

The first was that the economy must be back on track. That was expected to take place from December to February when the government's stimulus package began to yield fruit.

The second was that all parties must be in agreement on the election rules.

The third condition was that an election would end political conflict and a House dissolution and fresh polls could raise the country from crisis.

Mr Abhisit said a decision to dissolve the House would also depend on members from all political parties being allowed to campaign freely without hindrance from opposing sides.

He attributed the political conflict to two major factors: the misconception that a majority vote was always correct and that the law was being used as a political tool.

To break the political stalemate, all sides must take a step back. But in doing so, they must not affect the rule of law and the country's main institutions must continue to exist and not be offended.

Yesterday's course was titled "Thai Politics in a Situation of Conflict". Reporters were excluded.


Source : bangkokpost.com





8/24/2009

คนเล็กจ่ายก่อน

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11489 มติชนรายวัน


คนเล็กจ่ายก่อน

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ข่าวสับสนของ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือ ประชาชนในภาคใต้จำนวนหนึ่งถูกสั่งให้เสียเงินค่าโลกร้อน เพราะไปตัดต้นยางเก่าในพื้นที่ซึ่งพวกเขาอ้างว่าทำกินกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แม้สมมุติว่า พื้นที่สวนยางดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตวนอุทยานฯทับลงไปแล้ว ค่าปรับก็ยังเป็นค่าปรับที่ทำให้โลกร้อน (ด้วย) ไม่ใช่เพราะบุกรุกเขตวนอุทยานฯอยู่ดี

ฉะนั้น จึงน่าตกใจแก่ชาวบ้านร้านตลาดพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าสิทธิการตัดต้นไม้ในบ้านเรือนไร่นาของตนเองได้หมดไปตั้งแต่เมื่อไร ทางกรมอุทยานฯก็ออกมาปฏิเสธว่า เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพราะกรมไม่เคยมีคดีกับชาวบ้านเรื่องนี้ แม้ชาวบ้านจะยืนยันว่าคำสั่งที่ตัวได้รับนั้นเป็นคำสั่งศาล

สื่อไม่ได้ลงไปเจาะให้เจอตัวคำสั่งศาล หรือเจอความเข้าใจผิดของชาวบ้าน แต่สื่อกลับตอบโต้ด้วยการนำเอา พ.ร.บ.ซึ่งออกมาตั้งแต่ 2535 มีมาตราค่าปรับเรื่องการกระทำที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมายืนยัน ทางกรมอุทยานฯก็ยังยืนยันว่าไม่มีสูตรคิดค่าเสียหายจากชาวบ้านที่ตัดไม้ทำลายป่า ในที่สุดมติชนไปได้เอกสารของกรมอุทยานฯ มีเลขที่และวันที่ชัดเจน ส่งถึงสำนักงานอัยการจังหวัดพัทลุง เพื่อแจกแจงค่าเสียหายที่เกิดจากการบุกรุกทำลายป่าแห่งหนึ่ง และในนั้นมีรายการค่าปรับที่ "ทำให้อากาศร้อนมากขึ้น" เป็นเงินสี่หมื่นกว่าบาทต่อไร่ต่อปี

กรมอุทยานฯอ้างว่า คงเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องโยงข้อความใน พ.ร.บ.มาใช้ โดยทางกรมไม่เคยมีสูตรคิดเลย พูดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นความขยันไม่เข้าเรื่องของข้าราชการระดับล่างโน่น - และผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนลงนามในหนังสือของกรมที่มีไปยังสำนักงานอัยการใน พ.ศ.2548

ยังมีความสับสนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดมาจากตัวกฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรืออาจเกิดจากความสับสนของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมาย

ภาวะโลกร้อนเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่มากในปัจจุบัน ทุกประเทศต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ในการลดเงื่อนไขที่ทำให้โลกร้อน ประชาชนในแต่ละประเทศก็มีภาระอย่างเดียวกัน ไม่ว่าจะมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ และไม่ว่าจะเอาคาร์บอนเครดิตไปขายได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม กิจกรรมของมนุษย์ ทั้งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และที่ทำขึ้นเพื่อดำรงชีวิต ย่อมต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นธรรมดา ปัญหาคือจะแบ่งความรับผิดชอบของผู้กระทำอย่างไร

ในส่วนกิจกรรมที่เป็นไปตามธรรมชาติ (ตั้งแต่ตดไปจนถึงอาบน้ำและกิน) กิจกรรมใดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้ทำเป็นปกติ แต่ส่วนที่เลี่ยงได้ หากอยากจะบริโภคอุปโภคให้ได้ ก็ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น เช่นกระบวนการผลิตเนื้อวัวก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมาก ผู้บริโภคก็ต้องแบกรับราคาที่สูงกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ประเภทอื่นเช่นปลาตามธรรมชาติ

ในส่วนกิจกรรมอื่นที่นอกเหนือธรรมชาติ (เช่นตัดต้นยางเก่าออก) หลักการพิจารณาก็คือ มีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ในเงื่อนไขที่เป็นธรรม อันจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยลงหรือไม่ หากไม่มี เช่นกรณีชาวบ้านที่ทำสวนยาง ถึงอย่างไรก็ต้องโค่นต้นยางเก่าทิ้ง และในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน ย่อมไม่มีเทคโนโลยีให้เลือกมากไปกว่าเลื่อย

ในกรณีเช่นนี้ หลักปฏิบัติที่เขาใช้กันทั่วไปก็คือ กระจายความรับผิดชอบไปให้แก่ทุกฝ่าย เช่นเอาค่าปรับโลกร้อนไปฝากไว้ในภาษีการซื้อ-ขายยางพารา จะฝากไว้ที่ระดับน้ำยาง หรือระดับผลิตภัณฑ์เช่นยางรถยนต์ก็ตาม แต่ผู้บริโภคต้องจ่าย โดยไม่เอาค่าปรับไปกระจุกไว้ที่ปัจเจกบุคคลที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แล้วปล่อยให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมนั้นลอยนวลไป

และในทำนองเดียวกัน หากสังคมยอมให้ผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (และก๊าซพิษอื่นๆ ด้วย) มากกว่าพลังงานอื่น โรงไฟฟ้าประเภทนั้นก็ต้องจ่ายภาษีโลกร้อนเพิ่มเข้ามา แต่โรงงานนั้นก็ไม่เดือดร้อนนัก เพราะสามารถกระจายภาระภาษีไปให้แก่ผู้บริโภคได้ ถึงตอนนั้นผู้บริโภคจะหลับหูหลับตาอนุมัติให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อไป ขอเพียงให้พ้นบ้านตัวเองเท่านั้น ก็ตามใจ เพราะทุกโรงไฟฟ้าถ่านหิน ค่าไฟฟ้าไม่ได้ถูกลง แต่กลับแพงขึ้น

ในทางตรงกันข้าม หากมีกระบวนการผลิตให้เลือกและในเงื่อนไขที่เป็นไปได้ ผู้ผลิตยังเลือกที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก เช่น โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลายที่ไม่ยอมบำบัดน้ำเสีย ก็ควรต้องรับผิดชอบกับค่าปรับโลกร้อนเองโดยตรง

แต่น่าประหลาดที่ในเมืองไทย หลักปฏิบัติที่เขาใช้กันทั่วไปสำหรับจัดการกับการ "ละเมิด" ต่อสังคม กลับมักเป็นตรงข้าม กล่าวคือผลักภาระการ "ละเมิด" นั้นไปให้คนเล็กสุดรับเอาไว้ แล้วปกป้องผู้บริโภคกับนายทุนให้พ้นจากความรับผิดชอบเสีย หากผู้บริโภคไม่ต้องรับผิดชอบ การบริโภคก็ยังดำเนินต่อไปโดยไม่สะดุด และนายทุนก็สามารถทำกำไรได้โดยไม่สะดุดเช่นกัน

ภาษีสิ่งแวดล้อมหรือภาษีโลกร้อนจึงไม่มีใช้ในเมืองไทย และตราบเท่าที่ไม่ยอมรับหลักการดังกล่าวข้างต้น หากขืนมีใช้ให้ได้ ก็น่ากลัวว่าจะกลายเป็นภาระอันหนักของคนตัวเล็กๆ... อย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียด้วย

ในรอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน ยังมีข่าวชวนสับสนอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อมีเหตุขัดข้องทางเทคนิคกับระบบส่งก๊าซธรรมชาติ ทั้งจากอ่าวไทยและพม่าพร้อมกัน กำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ จำเป็นต้องหาทางผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรีบด่วน

กฟผ.เหลือทางเลือกอยู่เพียงสองอย่าง คือผลิตไฟฟ้าจากกำลังน้ำที่เขื่อนศรีนครินทร์ กาญจนบุรี เวลาที่กะทันหันเช่นนั้นย่อมเตือนภัยประชาชนที่อยู่อาศัยริมน้ำใต้เขื่อนไม่ทันเป็นธรรมดา หรือสอง ผลิตไฟฟ้าจากน้ำมัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีต้นทุนสูงกว่าพลังน้ำมาก

กฟผ.เลือกการผลิตไฟฟ้าฉุกเฉินด้วยพลังน้ำ และเกิดความเสียหายหลายประการแก่ประชาชนท้ายเขื่อน เพราะน้ำขึ้นอย่างรวดเร็วจนเก็บข้าวของไม่ทัน

เหตุใด กฟผ.จึงใช้ทางเลือกนี้ คำตอบที่เห็นได้ชัดก็คือ เพราะต้นทุนจะต่ำสุด แต่ที่ต้นทุนต่ำได้นั้นก็เพราะประชาชนท้ายเขื่อนเป็นผู้แบกรับต้นทุนส่วนใหญ่เอาไว้ หมายความว่าบ้านเรือนที่ใช้ไฟฟ้าในช่วงนั้น รวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งไม่ต้องหยุดเครื่องระหว่างนั้น อันเป็นความเสียหายมีมูลค่าสูงมาก ได้ใช้ไฟฟ้าในราคาเดิม บนความเสียหายของทรัพย์สินชาวบ้านท้ายเขื่อนศรีนครินทร์

ก็เรื่องเดิมอีกเช่นเคย คนเล็กๆ คือผู้แบกรับภาระรับผิดชอบก่อนเสมอ

เวลานี้ ชาวบ้านท้ายเขื่อนกำลังเรียกร้องค่าเสียหาย เฉพาะวันแรกวันเดียวที่เปิดให้แจ้ง ก็รวมมูลค่าความเสียหายไปแล้วถึง 50 ล้านบาท แพงกว่าที่จะใช้น้ำมันแก้ปัญหาฉุกเฉินอย่างเทียบกันไม่ได้

แต่ กฟผ.ตั้งอยู่ในประเทศไทยมานาน ย่อมรู้ดีว่า ในที่สุด กฟผ.ก็ไม่ต้องจ่าย หรือจ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนโยบายหลักของประเทศไทยก็คือ คนเล็กๆ รับภาระรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของภาวะฉุกเฉินก่อนเสมอ ขณะนี้ กฟผ.กำลังมองหากฎหมายว่าจะจ่ายค่าเสียหายนี้ได้อย่างไร และพบว่าไม่มีกฎหมาย ฉะนั้นต้องเสนอให้ร่างกฎหมายขึ้นมาเพื่อการนี้ในภายหน้า

ตอนนี้ยังจ่ายไม่ได้ และการตัดสินใจของ กฟผ.ที่จะแก้ปัญหาไฟฟ้าขาดฉุกเฉินอย่างที่ได้ตัดสินใจไปแล้วนั้น ก็ถูกต้องอยู่แล้ว

ปรากฏการณ์พิลึกพิลั่นเหล่านี้ เป็นเพียงผิวนอกที่เรามองเห็นได้จากความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้าง ที่ครอบงำสังคมการเมืองไทยอย่างลึกซึ้งตลอดมา การเมืองใหม่ที่พร่ำเพ้อแต่หลักการเชิงศีลธรรมของนักการเมืองก็ตาม การเคลื่อนไหวเพื่อแสวงหาความเป็นธรรมให้พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว เมื่อเทียบกับความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างที่เราเผชิญอยู่

การใช้ความรุนแรง (ในทุกความหมาย) เป็นเครื่องมือในความขัดแย้งก็เป็นเรื่องเศร้าอยู่แล้ว แต่มาคิดถึงความขี้ปะติ๋วของประเด็นที่ขัดแย้งกัน ยิ่งทำให้น่าเศร้าขึ้นไปอีก

ถึงจะสมานฉันท์กันได้สักวันหนึ่ง ก็คงสมานฉันท์กันในเรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้น

หน้า 6

(www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01240852&sectionid=0130&day=2009-08-24)


----------------------------


“คนเล็กจ่ายก่อน” เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วครับ.. ถูกยัดเยียดให้จ่ายทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ความจริงแทบจะทุกเรื่องแหละครับ โดยมากถูกปิดปากไม่ให้โวยด้วย เราถูกปั่นหัวให้คุยกัน/ตั้งความหวังกับเรื่อง “คนดี” จนไม่คิดพัฒนา “ระบบ” อย่างจริงจังเสียที สังคมไทยจึงขาดวุฒิภาวะ เวียนวนแต่การทำลายล้างกัน การเมืองใหม่เนื้อแท้ก็คิดในกรอบ “คนดี” คือคำตอบสุดท้ายของสังคมการเมืองไทย ตามหาอัศวินม้าขาวกันต่อไปครับ.


รอยเตอร์วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยฟื้น

รอยเตอร์วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยฟื้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มเชื่อมั่นประเทศไทย

สำนักข่าวรอยเตอร์นำเสนอบทวิเคราะห์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในไทยอีกครั้งแม้จะเกิดวิกฤตการเมืองต่อเนื่องช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการฟื้นตัวของตลาดหลักทรัพย์และการแข็งค่าของเงินบาท... รอยเตอร์ระบุด้วยว่า นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังพยายามขัดขวางไม่ให้นายอภิสิทธิ์มีอำนาจแข็งแกร่งได้ โดยหวังว่าจะสร้างปัญหาได้มากพอที่จะทำให้ต้องยุบสภา และมีการเลือกตั้งใหม่ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะมีขึ้นในปี 2553 (มติชนออนไลน์, 24 สิงหาคม 2552)

แต่เอ๊ะ!.. ทำไมเราประชาชนคนเดินดินกลับรู้สึกว่า เศรษฐกิจการทำมาหารายได้เลี้ยงชีพมีแต่ทรงกับทรุดล่ะ? คุยกับแม่ค้า พ่อค้า คนขับแท็กซี่ มอไซด์รับจ้าง ฯลฯ ต่างก็รู้สึกคล้ายกัน.. การบริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลดูจะไม่ค่อยเห็นผลเลย คำถามคือปัญหาอยู่ที่ทักษิณฯขัดขวาง หรือว่าสมรรถภาพการบริหารของรัฐบาลเอง?


Foreigners 'own 90% of Phuket beach land'



Report says land grab rife in tourist spots

Writer: PENCHAN CHAROENSUTHIPAN

Published: 24/08/2009 at 12:00 AM

About 90% of beach land in Phuket is controlled by foreigners through Thai nominees, a leading research body has found.

A similar situation exists in other prime tourism destinations in provinces such as Chiang Mai and Rayong.

Local officials and legal experts have helped clear the way for foreign investors to take control of the country's rice farms and property in resort provinces, according to research on foreign land ownership by the Thailand Research Fund.

TRF called a seminar on the research findings yesterday attended by economics and legal scholars.

There recently has been speculation that foreign businessmen, particularly from the Middle East, were snapping up rice fields in the central plains and elsewhere through proxy local companies.

Transnational business consortiums were said to be holding the land through Thai nominees, which is against the law.

Some farmers are leasing land they previously owned but have since sold to the foreigners' proxy firms, observers said.

Siriporn Sajjanont, from the economics faculty at Sukhothai Thammathirat Open University and a member of the research team, said the study showed many kinds of property had been bought by foreigners through Thai nominees.

"About 90% of land along the coastline in Phuket is controlled by foreigners through Thai nominees," she said.

Foreign investment capital was essential for developing Phuket and Samui, as Thais do not have enough money to invest themselves, Ms Siriporn said.

The coastal areas most sought after by foreign investors were Pattaya in Chon Buri, Koh Phangan and Koh Samui in Surat Thani, Phuket and Hua Hin in Prachuap Khiri Khan.

In Chiang Mai, foreigners had used legal loopholes to exceed the limit on sales of condominium units, Ms Siriporn said.

There was evidence they hold the property through Thai nominees by marrying Thais. In some cases, Thai women were asked to register the foreigners' property in their own names.

The study found similar problems in Rayong involving foreign landholdings through Thai nominees with foreigners marrying Thais.

In some land lease cases, the period of leasehold was unusually long, Ms Siriporn said. The study found that some lease contracts stated the leasehold was "for life".

Land ownership by foreigners had been made possible by their Thai lawyers who had found legal loopholes to clear the way for foreigners to take control, the research found.

Village heads also had acted as land brokers to arrange sales of state land given to local people so they could make a living, the panellists said.

Village heads were close to residents and knew which prime land was available.

Some legal entities had been set up with 51% of shares held by Thais, although those Thais turned out to be mere legal advisers for foreigners and had no power to run the legal entities, Ms Siriporn said.

"We also found the same people had set up many entities," she said.

Some entities' regulations on shareholding structures allowed foreign shareholders more power than Thais in running those entities.

Col Surin Pikulthong, president of the Community Organisations Development Institute, said he had received information that Hmong people in the US had provided financial support for Hmong in Nan province to buy land and grow rice for shipment to the US.

Silaporn Buasai, vice-president of the institute, said she had heard that investors from Taiwan had bought land here for growing oranges to be sold in Taiwan.

Wichian Phuanglamjiak, vice-president of the Thai Rice Growers' Association, said rice farmers held additional information on land grabs by foreign investors.

He said the problem had remained unaddressed for too long and no state agency had taken the matter seriously.

Mr Wichian said farmers were pinning their hopes on the Department of Special Investigation to pursue the matter.

DSI investigator Pakorn Sucheevakul on Saturday said the agency was investigating four Thai companies in Ayutthaya which own rice farms of almost 10,000 rai.

Malee Antasin, 59, a farmer in Ayutthaya's Bang Ban district, said businessmen had bought many plots in her village since 1995.

She said she had felt "besieged" and pressured to sell her rice plot as her land had been enclosed by other plots owned by those investors. She was now taking the matter to court.


Source : bangkokpost.com







8/05/2009

Dollars in the paddies




Local News

DSI probes foreign money in paddies

Published: 6/08/2009 at 12:00 AM

Farmers from Nakhon Pathom will submit evidence to the Department of Special Investigation today to support claims foreign investors are illegally acquiring paddy fields through Thai nominees.

The move comes as the DSI looks into a report that foreigners are buying and leasing land for rice farming with the help of nominee companies.

The action violates the law which allows only joint ventures between foreigners and Thais to operate farm businesses.

· See our editorial:Worse worries than land grab

But the report needs to be examined to answer questions over the alleged land acquisitions which have been deemed as causing "enormous damage" to farmers, Thai Farmers Association president Prasit Boonchoey said.

A DSI source said the agency had sent an investigative team to Ayutthaya, a rice-growing province in the Central Plain.

The DSI expected its investigation to take about two weeks. If it uncovered illegal acts, the agency would inspect paddy fields in other regions, he said.

Prime Minister Abhisit Vejjajiva said he had asked the Commerce Ministry to look into the allegations. Farming is reserved for Thais only, he said.

Meanwhile, rice farmers in Ayutthaya's Bang Ban, Sena and Phak Hai districts have decided to leave their farms after their attempts to ask a landlord to extend their leases failed, said Somjit Jankaew, 55, a farmer from Lat Bua Luang district.

They are among 80 farmers whose rental period expired after being allowed to farm on more than 5,000 rai, owned by a private company, for more than 10 years.

A company representative said it had no policy to renew the farming period but would help farmers by allowing them two years to leave, one year more than required by law, Mr Somjit said.

"The farmers are now divided," Mr Somjit said. "One still goes ahead with their request while the other gives up."

Those who are still confident about their effort to stay on the land have asked Ayutthaya's state attorney office to help them negotiate with the company to give them four more years of farming.

If the company does not change its policy, the farmers would leave, Mr Somjit said. Many rice farmers enter into "unofficial contracts", requiring no documents, with landlords.

(www.bangkokpost.com/news/local/21538/dsi-probes-foreign-money-in-paddies)






Flu's fatalities reaches 81 Wednesday


TYPE A (H1N1)

Flu's fatalities reaches 81 Wednesday

By Pongphon Sarnsamak
The Nation




Thailand on Wednesday announced an additional 16 fatalities of new strain of influenza, bringing the country's death toll to 81, Deputy Permanent Secretary for Public Health Dr Paijit Warachit said.

The figure was lower than the previous week's toll of 21, which the Public Health Ministry attributed to the public's more awareness of the virus.

"People have a better understanding of the flu and better access to the anti-viral drug Tamiflu," a statement from the ministry said.

Nine men and seven women were killed by influenza between July 26 and August 2, 12 of whom had underlying illnesses when they became infected, it said.

(www.nationmultimedia.com/2009/08/05/national/national_30109149.php)



8/03/2009

Travellers warned of plague in China

In 1910, when Manchuria, the north eastern part of China was invaded by a pneumonic plague, a valiant fighter against the disease emerged in the form of Dr. Wu Lien- teh. Leading a group of inspired medical personnel, Dr. Wu researched countless scientific methods in an attempt to contain the plague. His efforts eventually resulted in a breakthrough in the medical world. ( channelnewsasia,jan 22,2009)





Health

Travellers warned of plague in China

Writer: BangkokPost.com

Published: 3/08/2009 at 02:33 PM

The Public Health Ministry warns people planning to visit China to be careful because there is a pneumonic plague outbreak.

Public Health Minister Witthaya Kaewparadai said on Monday that victims of the plague can die within 24 hours after being infected with the disease.

Two people had died of pneumonic plague in northwestern province of Qinghai, China.

The re ws no sign of the desease in Thailand at the this stage, Dr Witthaya said.

The minister said he had instructed health permanent secretary Prat Boonyawongvirote to closely monitor the situation and check the level of severity and the plague-hit areas in China.

Safety measures would be prepared for people travelling to China during this period, he said.

He warned travellers to look after their health and hygiene to protect themselves from pneumonic plague, A(H1N1) flu and other communicable diseases.

(www.bangkokpost.com/news/health/150990/travellers-warned-of-plague-in-china)





UDD sets new petition date



source : bangkokpost.com


Politics

UDD to submit petition on Aug 17

Writer: BangkokPost.com

Published: 3/08/2009 at 02:40 PM

Bowing to a barrage of criticism that Aug 7 is inappropriate, the UDD has set a new date to submit its petition for a royal pardon for fugitive former prime minister Thaksin Shinawatra,

The United Front for Democracy against Dictatorship has settled on Monday Aug 17, the same day the Supreme Court is due to deliver its verdict in the rubber saplings corruption case, which involves many former Thaksin cabinet ministers including Bumjaithai defacto leader Newin Chidchob.

Originally, the red-shirted group planned to submit the petition and lists of supporting signatures on Aug 7. However, the choice of the date was slammed as being inappropriate by critics who pointed out that it is known as “Gun Explosion Day” -- the date the outlawed Communist Party of Thailand launched its war of liberation against the Establishment in 1965.

UDD core leader Veera Musikhapong said on Monday that so far 5.4 million people had signed the petition. Another leader, Natthawut Saikua, said he would file a complaint with the National Anti-Corruption Commission against Interior Minister Chavarat Charnvirakul and his deputy, Boonjong Wongtrairat, accusing them of abuse of authority for attempting to prevent Thaksin’s supporters signing the pardon petition.

Prime Minister Abhisit Vejjajiva said on Sunday that he would have the signature lists checked to find out any of those who signed the petition did so under duress or after being misled.

The Supreme Court's Criminal Division for Holders of Political Positions is due to deliver its verdict in the rubber saplings corruption case on Aug 7. The case concerns a government project to provide 90 million rubber saplings to farmers at a cost of 1.440 billion baht.

The saplings were provided by Charoek Pokphand, Resort Land and Ek Charoen companies.

A total of 44 former cabinet members of the disbanded Thai Rak Thai party and government officials were charged in the case and put on trial. They include former deputy prime minister Somkid Jatusripitak in his capacity as chairman of the committee to assist farmers, former finance minister Varathep Rattanakorn, former agriculture minister Sora-ath Klinprathum, former commerce minister Adisai Potharamik and Newin Chidchob, who was then deputy agriculture minister in the Thaskin government.

The UDD has claimed the Bhumjaithai party’s recent role in organising a campaign against the signature collection drive might be intended to influence the Supreme Court’s decision in the case.

This suggestion that the verdict may be somehow compromised is widely viewed as an insult to the court.

(www.bangkokpost.com/news/politics/150991/udd-to-submit-pardon-petition-on-august-17)






8/02/2009

CIA could help solve the Hmong stalemate




By The Nation
Published on August 3, 2009




Refugees resist repatriation plans as three nations push to decide their fate

The United States should offer some technical assistance to Thailand and Laos to handle the issue of Hmong refugees being sheltered in Phetchabun's Ban Huay Nam Khao and detained in Nong Khai to help them lead new lives faster.

Walking through, smiling and issuing press statements to voice humanitarian concerns will not help them escape their bad situation.

Samuel Witten, principal deputy assistant secretary for the State Department's Bureau of Population, Refugees and Migration, led a US delegation to visit the Hmong both in Phetchabun and Nong Khai last week but again failed to make any change for the ethnic minority.

His visit did not help solve the problem but made the issue more complicated, as some Hmong misunderstood that Washington had sent a signal to take them for resettlement in the US.

Rather than announcing to all at the camp what the US wants to do or does not want to do, the US officials chose to meet quietly with Thai military officers and some representatives of the Hmong.

A Hmong who met with the US officials told reporters that he got the message from the US officials that Washington would not accept them for resettlement.

However it was unclear whether the Hmong representatives who met the US officials would relay the message accurately to their followers in the camp.

Some Hmong told the media later that they did not know why the US officials visited the camp. Some said they did not believe the US would not take the Hmong for resettlement as their relatives in the US called to tell them that they still have a chance to seek better lives in America.

Rather than talking to thousands of Hmong directly, Witten issued a press statement on Friday to wrap up his visit, saying the US government has no plans for a large-scale resettlement programme for Lao Hmong in Thailand but the US Refugee Admissions Programme will consider referrals on a case-by-case basis.

Witten called for the Nong Khai Hmong, who have been detained by Thai authorities for over two-and-a-half years, not to be returned involuntarily to Laos and instead, for humanitarian reasons, to be released immediately from the Nong Khai facility.

The US delegation demanded an appropriate and transparent screening process to identify those detainees who may have protection concerns. Those Lao Hmong who are found to be in need of protection should not be forcibly returned to Laos, it said.

The Hmong refugee issue is complicated and could not be solved easily by a statement from the US.

Thailand has sheltered thousands of Hmong since late 2004. The Hmong claim they are close associates of the US Central Intelligence Agency's secret operatives who fought against the communist movement before the fall of Vientiane in 1975. They say they fled their homeland due to suppression from Lao authorities and want to seek asylum in third countries, notably the US.

Some sneaked out of the camp and tried to seek protection from the United Nations High Commissioner for Refugees in Bangkok but were arrested, and 158 Hmong are now being held in Nong Khai for illegal entry.

The Hmong in the Ban Huay Nam Khao shelter could be classified into three groups. Most are really economic migrants from Laos. The second group comprises Hmong who were left over after the closure of the Tham Krabok monastery and the US resettlement programme in 2005. The last group with some 500 members might really have some connection with the CIA's fighters.

Since Thailand and Laos agreed in 2006 to repatriate the Hmong to Laos, more than 2,900 have been sent back. The Thai government set a timeframe to return the 4,645 remaining people by the end of September. The project is backed by a budget of Bt26 million.

However the repatriation plan could not be enforced easily since it runs against the Hmong's freewill, notably those who claimed they are close associates of the CIA and fear suppression from the Lao government.

Brig-General Buaxieng Champaphan, co-chairman of the Thai-Lao general border subcommittee, who visited the Hmong in Ban Huay Nam Khao in February, dismissed the allegation and guaranteed that no Hmong would be punished upon return.

Buaxieng is set to lead a Lao delegation to visit the Hmong again on Friday to convince them to return home. The Lao authorities have prepared houses, land and infrastructure for the Hmong returnees. The facility for them in Vientiane province's Ban Pha Lak has been visited by outsiders including diplomats, journalists and officials from Thailand and the US several times.

The problem is that no Hmong in Thailand believes Laos. They resist the repatriation plan and retain the hope of resettlement with assistance from their former boss, Uncle Sam.

Rather than simply calling for transparency in the screening process, Washington should make clear to them who are qualified for resettlement;which cases could be applied and which cases could not.

The CIA, which is supposed to have a solid database on its Hmong secret fighters, should offer its hand to help verify who really has connections with the secret war. Attention and visits by officials from Washington under the name of humanitarian concern do not help fix any problem but only inspire the Hmong to continue their dream and prolong the waiting time.

Like everyone else, the Hmong have the right to lead better lives, rather than subsist in shelters and detention centres while facing an unclear future.


(www.nationmultimedia.com/topstory/30108901/CIA-could-help-solve-the-Hmong-stalemate)










8/01/2009

Thailand cracks down on Web users for royal 'slurs'



Sentenced: Suwicha Thakhor left a Bangkok court in April after being given a 10-year jail term for posting a YouTube video that was deemed offensive to Thai royals. REUTERS




Thailand cracks down on Web users for royal 'slurs'

Webmasters face criminal charges for comments posted on their websites deemed offensive to the royal family.

By Simon Montlake | Correspondent

from the July 26, 2009 edition

Using a combination of high-tech online sleuthing and a century-old royal defamation law, Thai authorities are tightening the screws on free speech here during a sensitive time for its influential monarchy.

Caught in the middle are Thailand's webmasters, who face criminal charges over some of the impassioned comments posted on their websites. Police have accused webmasters of breaking a computer-crime law that puts the onus on them to delete uploaded data that could threaten national security. Several thousand Web pages have been blocked for their royal content.

For those caught posting comments or images deemed offensive to the royal family, the consequences are severe. In April, Suwicha Thakhor, an engineer and political activist, was sentenced to 10 years in jail for uploading antiroyal videos on YouTube. Dozens of other Internet users have been arrested, too.

Mr. Suwicha was found guilty under Thailand's law against lèse-majesté that makes it a crime to defame royalty. It applies to any kind of speech or writings, and its use has skyrocketed in recent years during a protracted political crisis that has lapped at the palace doors.

King Bhumibol Adulyadej, the world's longest-reigning monarch (six decades and counting), is widely revered in Thailand for his moral guidance and for steering the country through previous political impasses. But his age and fading health have raised deep concerns for stability under his designated successor, Crown Prince Maha Vajiralongkorn, who lacks his father's stature.

GOVERNMENT CRACKDOWN LEADS TO SELF-CENSORSHIP

In addition to the charge of lèse-majesté, Suwicha was the first person to be convicted under the computer-crime law, which was passed in 2007. His case and other pending prosecutions have had a chilling effect in cyberspace, according to Thai website operators, free-speech activists, and human-rights groups, who say the result is greater self-censorship.

"People are understandably fearful that their information or commentary could run afoul of the law, and so they err on the side of withholding it," says Benjamin Zawacki, a researcher on Southeast Asia for Amnesty International.

By defining lèse-majesté as a matter of national security, authorities have added teeth to the computer-crime law, which carries a maximum five-year jail term. Last month, a judge ordered the trial of a woman (who made an antiroyal public speech in 2008) to be closed to the public on grounds of national security. Her lawyer has contested the ruling.

Prime Minister Abhisit Vejjajiva, who took power in December after months of paralyzing protests, has said he wants to strike a balance between free speech and respect for the constitutional monarchy. Critics say he has failed and is unwilling to take on conservatives in his administration that are leading the crackdown.

INTERNET FREEDOM FADES

As in China, the Internet offers far more freedom than Thailand's mainstream media for discussing taboo topics. But that started to change in 2006, after the military ousted popular Prime Minister Thaksin Shinawatra.

As editor of Same Sky Books, a left-leaning periodical (online and print), Thanapol Eawsakul has often run afoul of Thai authorities.

In recent months, his site's Web boards have hosted lively debates on political upheaval and the role of the palace. Traffic on the website spiked last December when royalist protesters wearing yellow, the king's color, occupied Bangkok's airports in defiance of an elected government.

In January, authorities shut down the site, but it was moved to an overseas host server. Police have since questioned Mr. Thanapol and ordered him to delete allegedly offensive comments from the boards.

Using the computer-crime law, police can force webmasters to disclose data that allows IP address tracing. The editor of Prachatai, a news website and forum that covers sensitive topics, has been charged under the computer-crime law and faces up to 50 years in jail, if convicted.

Thanapol argues that open debate is healthy for everyone. "It should be advantageous for the royal family. We hold up a mirror that reflects back to them. Some people might not like this," he says.

ENFORCEMENT OF LÈSE-MAJESTÉ LAW

It's unclear to what extent the crackdown is supported by those whom it is supposed to protect. Speaking on condition of anonymity, a source close to the palace denies any encouragement for the wave of arrests. "Nobody at the palace is driving this," the source says.

Experts say the law against lèse-majesté is often exploited by politicians to smear their opponents in the knowledge that authorities will feel obliged to investigate to prove their own fealty. Mr. Thaksin has repeatedly been accused of disloyalty to the throne.

At the Ministry of Information and Communications Technology, a 24-hour war room monitors the Internet. A senior official, Aree Jiworarak, says 90 percent of the sites the ministry blocks are outside Thailand, complicating investigations of lèse-majesté.

In 2007, Thailand pulled the plug for several months on YouTube after antiroyal videos appeared. YouTube later agreed to block access in Thailand to videos deemed offensive to the monarchy, as it does in Germany with illegal Nazi content.

Mr. Aree complains that YouTube last year stopped responding to his frequent requests to block videos, forcing the ministry to do its own blocking. Scott Rubin, a spokesman for Google, said he wasn't aware of this and that the policy on country-specific blocking hadn't changed.

Aree says the royal family is informed about his investigations, as well as similar work by other government agencies. But he denies that this means a push for prosecutions. "We don't want people to think that the royal family are behind these arrests," he says.

(www.csmonitor.com/2009/0729/p06s11-wosc.html)